วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคโนโลยีสามมิติ (3D Technology)


เทคโนโลยีสามมิติ (3D Technology)เกิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว ล่าสุดผลของความสำเร็จของภาพยนต์ Avatar ในแบบฉบับ 3D ที่ทำตัวเลขรายได้ถล่มทลาย ขณะเดียวกันทีวีอีกอย่างน้อย 2 ช่องในสหรัฐฯ กำลังเตรียมออกอากาศในรูปแบบสามมิติด้วย ซึ่งแน่นอนว่า นอกจากจอภาพยนต์ และทีวีแล้ว มือถือตลอดจนอุปกรณ์โมบายต่างๆ ก็จะสามารถรองรับคอนเท็นต์ 3D ได้เหมือนกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักจะเห็นในระบบ 3D ก็คือ อุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้ต้องสวมใส่ นั่นก็คือ แว่นตาสามมิติ ซึ่งแม้จะดีไซน์อย่างไร ผู้ใช้ก็ยังรู้สึกไม่สะดวกนักสำหรับการรับชม ล่าสุดนักวิจัยของไมโครซอฟท์ได้พัฒนาเลนส์แบบใหม่ที่สามารถแสดงภาพสามมิติได้ดีกว่าเดิม แถมยังไม่ต้องใส่แว่นตาอีกด้วย


ข้อมูลจากเว็บไซต์ Technology Review ได้เปิดเผยต้นแบบจอแสดงผล 3D รูปแบบใหม่ ซึ่งจะมีกล้องที่สามารถติดตามสายตาของผู้ชม โดยทำงานร่วมกับเลนส์ทีมีความบางมากๆ ทำหน้าที่ปรับทิศทางของแสงที่เข้าไปยังสายตาของผู้ชมด้วยการเปิดปิด LED ที่เรียงตัวอยู่ด้านล่างของขอบเลนส์อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือ ตาซ้าย และตาขวาของผู้ชมจะเห็นภาพที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดภาพลวงตาสามมิติขึ้นมา

การทำงานของระบบดังกล่าวไม่เพียงแต่จะส่งภาพที่แตกต่างให้เห็นโดยตาแต่ละข้างเท่านั้น แต่ในทางเทคนิคมันยังส่งภาพที่แตกต่างกันไปให้ผู้ชมคนอื่นๆ ที่อยู่หน้าจอในเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ชมแต่ละคนยังสามารถเห็นชิ้นโฆษณาทีไม่เหมือนกันได้อีกด้วย หรือแม้แต่การที่ผู้ชมสามารถรับชมทีวีเครื่องเดียวกัน แต่ดูคนละรายการได้นั่นเอง เนื่องจากทีวีเป็นกิจกรรมของสังคม และคนส่วนใหญ่ก็อยากที่จะมีโอกาสได้นั่งดูทีวีร่วมกัน แต่ปัญหาคือ ความสนใจทีมีต่อรายการที่รับชมแตกต่างกัน ด้วยเทคนิคนี้จะทำให้ผู้ชมทีวีในบ้านได้มีโอกาสมานั่งดูทีวีร่วมกันอีกครั้ง 


เทคโนโลยีสามมิติ หรือที่เราเรียกว่า "3D" นับเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงมากในปี 2010 หลังจากที่เริ่มมีกระแสปลุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเกม"3D” หรือ ระบบการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก ที่มีการออกอากาศในรูปแบบ 3D กระจายไปทั่วโลก ยิ่งเป็นปรากฏการณ์สร้างให้ 3 มิติ ยิ่งฟีเวอร์มากขึ้น ซึ่งกระแสนี้ยังรวมไปถึงภาพยนตร์ ซึ่งจะเห็นได้จากหนังส่วนใหญ่ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็น "3D" เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นหนังผี หนังแอ๊กซั่น หนังแนวดนตรี แทบเรียกได้ว่าทุกแนว ซึ่งค่ายหนังต่างๆในปัจจุบันต่างพยามผลักดันภาพยนตร์ของตนเอง หรือ พัฒนารูปแบบการนำเสนอให้ก้าวทันกระแส แล้วทำไมต้อง “3D” ก็เพราะทุกวันนี้ต้องยอมรับจริงๆว่า ภาพยนตร์สามมิติ สามารถสร้างความเร้าใจ และ สร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชมได้มากทีเดียว ซึ่งมากกว่ารูปแบบภาพยนตร์สองมิติแบบดั่งเดิมอย่างแน่นอน



แต่ก็ใช่ว่าสามมิติจะดีไปซะทุกอย่าง เพราะการดูหนังสามมิติเราต้องใส่แว่น และก็แน่นอนว่าย่อมต้องมีผู้ชมบางคนที่ไม่ชอบใส่แว่น ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบใส่แว่นเวลาชมภาพยนตร์ แต่ก็ยังพอยอมรับได้ เพื่อหนังที่เราอยากดู และเพื่อความเร้าใจที่จะได้รับ แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าเร็วๆ นี้จะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ใช้เทคนิคในการสร้างที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ได้ภาพยนตร์ 3 มิติ ในรูปแบบที่สามารถชมได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว อรรถรสความบันเทิงแบบเต็มรูปแบบนี้อีกไม่นานเราก็คงจะได้เห็นกัน

และอีกอย่างหนึ่ง อัตราค่าตั๋วสามมิติก็มีราคาสูงกว่าตั๋วแบบปกติ และเราก็มีคำถามในใจว่าทำไมถึงแพง ก็ต้องยอมรับว่าโรงภาพยนตร์ที่ฉายหนังสามมิติตอนนี้ยังถือว่าน้อยอยู่ คงต้องรอสักพักแหละครับ เมื่อมีโรงภาพยนตร์ที่เป็นสามมิติมากขึ้น หรือ การมีคู่แข่งในตลาดภาพยนตร์สามมิติหลายเจ้า ก็จะเกิดการแข่งขันทางด้านการตลาด เมื่อนั้นก็จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคเสมอครับ



          ยังไงช่วงนี้ก็ขอให้ทุกท่านที่เข้าไปชมภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็น 2D หรือ 3D ในโรงภาพยนตร์ ก็ขอให้ได้รับความสุข และ ความอิ่มเอมใจจากการรับชมภาพยนตร์นะครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น